วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มารู้จัก BMX กับการโชว์แบบเทพเทพ




BMX แบบเทพเทพ 

การเลือกซื้อตัวถังจักรยาน BMX



ตัวถัง(frame) สำหรับการเลือก ตัวถังที่เหมาะสำหรับการเล่นbmx ประเภทflatlandนั้น ควรเลือกตัวถังที่มีความสั้นกว่าตัวถังปกติ ทั้งนี้เราสามารถดูความยาวตรงนี้ได้จากการวัดท่อบน(toptube) ของตัวถัง(ในภาพ)ความยาวที่เหมาะสมคือ ไม่ควรเกิน20นิ้ว ซึ่งตัวถังที่ผลิตมาสำหรับเล่นflatland รุ่นใหม่ๆส่วนใหญ่จะมีความยาวยาวต่ำกว่า20นิ้วแทบทั้งนั้น(18-20นิ้ว)ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเล่นท่าต่อเนื่องได้ง่ายดายเช่น ระยะการเอื้อมมือไปจับเบาะใกล้ขึ้น, การต่อเนื่องจากล้อหน้าไปล้อหลังใกล้ขึ้นเช่นกัน, การเล่นท่าต่อเนื่องต่างๆง่ายขึ้น  จุดที่ต้องเลือกดูเพิ่มเติมก็คือ ความหนาของท่อที่ใช้ทำ , ความปราณีตของรอยเชื่อม, การออกแบบช่วงท่อด้านหลัง, ความหนาของครีบท้ายตัวถัง (dropout)ที่ใส่ล้อมีความหนาหรือบางขนาดไหน 

                                                                                          ที่มา http://www.siambmx.com/?p=828

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ลักษณะของจักยาน BMX STREET


 ลักษณะของจักรยาน BMX STREETB  ช่วงของรถจักรยานประเภทนี้จะยาวกว่าของประเภทแฟลตแลนด์เล็กน้อย   และรูปทรงจะไม่แปลกเหมือนรถจักยานแฟลตแลนด์ก็เพราะสตรีทไม่ได้ใช้สำหรับเล่นท่าบนพื้นราบรูปทรงจึงไม่ออกแบบมาสำหรับเล่นท่า แต่จะเน้นไปในการขี่และกระโดดซะส่วนใหญ่   ชิ้นส่วนต่างๆ ก็จะแตกต่างกันด้วย

BMX STREETB 

 - ตัวถังจะยาว 
 - ขาจานจะค่อนข้างยาวตั้งแต่ 175 เป็นต้นไป  
 - บันไดที่ใช้จะเป็นบันไดอลูมิเนียม เพื่อความทนทาน 
 - เบาะจะมีลักษณะต่ำมาก เพื่อช่วยให้เวลาที่กระโดดแล้วเบาะไม่กระแทก
 - ยางที่ใช้ส่วนใหญ่จะเส้นใหญ่ ตั้งแต่ 1.85 ขึ้นไป 
 - ขอบล้อทีใช้จะเป็นขอบล้อ 3 ชั้นเพื่อความทนต่อแรงกระแทกได้ดี

ที่มา http://kentakie.blogspot.com/2011/01/bmx-street.html

BMX STREET

 



  หลายคนคงรู้จักและเคยเห็นจักรยานผาดโผนแบบทั่วๆไปกันมาบ้างแล้ว   แต่มีไม่กี่คนที่จะทราบว่าแต่ละประเภทเป็น อย่างไรและแตกต่างกันยังไง  ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ BMX STREETB  BMX STREETB  คือ รูปแบบการขี่จักรยานในรูปแบบ freestyle รูปแบบหนึ่งโดยใช้สภาพแวดล้อมตามท้องถนนเป็นอุปกรณ์ในการเล่น  เช่น  ราวเหล็ก,บันได,ผนังกำแพง  เป็นต้น  แต่ท่าทางหรือรูปแบบในการขับขี่นั้นจะออกมาสวยงามหรือแปลกแหวกแนว อย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ขับขี่จะฝึกซ้อมและคิดค้นทางทางใหม่ในการขี่
  การนัดรวมตัวกันหรือสถานที่เล่นของ BMX STREETB  ก็มักจะเป็นตามถนน,ในสวนสาธารณะ,หรือถนนปิดที่ค่อนข้างมีอุปกรณ์ในการเล่นอย่างหลากหลาย   เช่น  ถนนพื้นที่ว่างใต้สะพาน  ถนนในสนามกีฬา  เป็นต้น

ประวัติ BMX

    จักรยานสองล้อรุ่นแรก ๆ ที่เป็นต้นแบบของจักรยานสองล้อในปัจจุบันมีกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อราวปี พ.ศ. 2343ในปี พ.ศ. 2408  ได้มีการผลิตจักรยาน 2 ล้อ รุ่นหนึ่งซึ่งมีตัวล้อเป็นเหล็ก  และมีขอบล้อทำด้วยไม้  กำลังเคลื่อนล้อได้มาจากแรงปั่นด้วยเท้าบนบันไดทั้งสองของรถจักรยาน  เหมือนกับในรถสามล้อถีบปัจจุบัน  ในช่วงต่อมาได้มีการใช้ล้อทำด้วยยาง    และในราวปี พ.ศ. 2423-2433  ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางล้อหน้าได้ขยายใหญ่ขึ้นถึง 60  นิ้ว  ซึ่งทำให้มันสามารถเคลื่อนที่ได้เป็นระยะทางถึง 16  ฟุต จากการปั่นบันไดรถจักรยานหมุน 1 รอบ  อันมีผลให้มันสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูง  ทั้งในแนวราบและวิ่งลงเขาแต่สำหรับการขี่ขึ้นทางชันนั้นจะต้องออกแรงเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นการที่จุดศูนย์ถ่วงของตัวจักรยานอยู่สูงทำให้มันมีแนวโน้มที่จะพลิกคว่ำหรือเกิดอุบัติเหตุได้โดยง่าย  ดังนั้น  ในราวปี พ.ศ. 2428  จึงได้มีการผลิตจักรยานรุ่นใหม่ที่มีรูปลักษณะเหมือนจักรยานสมัยใหม่ในปัจจุบัน  คือ ล้อทั้งสองมีขนาดเท่ากัน  และมีเฟืองที่บันไดรถ  เพื่อถ่ายทอดกำลังผ่านโซ่ไปยังล้อหลัง  ทำให้เกิดลักษณะการขับขี่มั่นคงกว่าเดิม  และยังให้อัตราทดกำลังด้วยการเลือกใช้เฟืองทดกำลังที่เหมาะสมสำหรับขับขี่โดยเฉพาะด้วยความเร็วต่ำแต่เบาแรงกว่าในขณะปั่นขึ้นเขาหรือทางชันจักรยานBMXเกิดขึ้นประมาณยุค 70  ในทางตอนใต้ของคาลิฟอร์เนีย โดยกลุ่มเด็กกลุ่มหนึ่งได้ปรับแต่งจักรยานขนาดล้อ 20นิ้ว ซึ่งพวกเขาได้แรงบรรดาลใจจากการชมภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการแข่งขันจักรยานยนต์  Motocass  แล้วทำให้เป็นที่นิยมกันมากในตอนนั้น    การแข่งขันจักรยานวิบากแบบ BMX (Bicycle Moto Cross)    ที่มีวงล้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 นิ้ว ในประเภทความเร็ว(Racing) ได้เป็นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาและได้แพร่ขยายไปทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว   หลังจากนั้นไม่นานนักขี่หลายๆคนได้ฝึกท่าทางพลิกแพลงผาดโผนในแบบต่างๆ เพื่อความสนุกสนาน และใช้โชว์ออฟกันในกลุ่มเพื่อนๆ ทั้งยังเป็นการฝึกทักษะในการควบคุมรถได้อย่างดี และเมื่อมีโอกาส ก็มักจะได้นำท่านั้นมาออกโชว์กันในช่วงพักของการแข่งขัน หรือในการโปรโมท์ ให้กับสปอนเซอร์ของตน ซึ่งจะเรียกความสนใจจากผู้คนได้ดีทีเดียว ต่อมาเมื่อมีท่าทางหลากหลายมากขึ้น   นักขี่หล่าวนั้นได้หันมาเน้นฝึกแต่ท่าพลิกแพลง(Tricks)  อย่างจริงจัง จนกระทั่งได้กลายเป็นกีฬาประเภทใหม่ที่เน้นฝึกเฉพาะแต่ท่าผาดโผนอย่างเดียว  และได้พัฒนาท่าพลิกแพลงเหล่านี้ให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นสิ่งที่น่าสนใจคือ ในยุคนั้นท่ายังไม่มีมากนัก จึงมีการคิดค้นลีลาต่างๆ ออกมาใหม่ ตลอดเวลา นักขี่แต่ละคนจะมีท่าเป็นของตนเอง ไม่ค่อยจะซ้ำกันนัก นักขี่กลุ่มนี้จึงถูกขนานนามว่า "Freestyler" และได้เริ่มมี การจัดการแข่งขันเฉพาะทางขึ้น นักขี่ที่มีชื่อที่สุด คนหนึ่งในช่วงนั้น คือ Bob Haro ซึ่งถือได้ว่าเป็น "Father of Freestyle" (ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทจักรยานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบริษัทหนึ่ง) ในราวปี 1985 เป็นต้นมา ทางบริษัทผู้ผลิตจักรยานหลายๆราย ได้มีการผลิตอะไหล่ ที่ทำไว้สำหรับการเล่นท่า Freestyle ได้แก่ตัวถังที่มีที่ยืนตรงหลักอาน, ที่ยืนตรงแฮนด์, ที่ยืนตรงแกนล้อ และตะเกียบฯลฯ  การจัดแข่งขันเริ่มมีมากขึ้นมีการรวมตัวนักขี่ผาดโผน จัดตั้งเป็นทีม Freestyle  อย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงนี้เอง ที่สมาคม AFA(American Freestyle Association) ได้เข้ามาผูกขาดในการจัดแข่งขันครั้งใหญ่ๆ นักขี่เอือมกับกติกาหยุมหยิม เช่น Flatland ก็ให้ใส่หมวกกันน๊อก และกรรมการเป็นคนธรรมดาไม่รู้จักการให้คะแนน โดยเฉพาะท่ายากๆหรือท่าใหม่ๆ  แบนนักขี่ที่ไปแข่งงานอื่น  จัดแบ่งรุ่น(Class)ละเอียดยิบ ซึ่งนอกจากจะแบ่งตามรุ่นอายุ ยังมีรุ่นสมัครเล่น(Amateur) และรุ่นมืออาชีพ(Pro) ซึ่งนักขี่จะลงได้หลายรุ่น ปัญหาจึงอยู่ที่คนที่มีฝีมือดียังไม่ยอม Turn Pro ง่ายๆเพราะยังหวงตำแหน่งอยู่ต่อมาในยุค 90  AFA ยกเลิกการจัดแข่ง ทำให้วงการเงียบเหงาไปพักหนึ่ง แต่ก็ได้ Mat Hoffman ซึ่งเป็นนักขี่ ได้ริเริ่ม จัดงานแข่งขึ้นเองชื่อ Bike Stunt Series หรือ BS ซึ่งเป็นการปลุกผีวงการขึ้นมาอีกครั้ง และได้ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนกระทั่ง ESPN ช่องกีฬายักษ์ใหญ่ได้มาติดต่อขอซื้อรายการต่อ  จัดให้มีการนำภาพจากการแข่งไปออกอากาศทั่วโลก และต่อมาได้รวบรวมกีฬาสุดขั้วหรือ Extreme Sports เข้าไว้ด้วยกันภายใต้ชื่อ “X-GAMES” 

                                            ที่มา http://www.bkk1.in.th/Topic.aspx?TopicID=15290